ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยของสิทธิ์การเข้าถึงระบบสำคัญขององค์กรจึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่ดีจึงเป็นรากฐานสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ภายในองค์กร
การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงสำคัญอย่างไร ทำไมจึงจำเป็นสำหรับทุกองค์กร ?
ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพกลายเป็นด่านสำคัญในการปกป้องทรัพย์สินดิจิตอลขององค์กร ทำให้ทุกองค์กรจำเป็นต้องเข้าใจถึงความสำคัญและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงจากการให้สิทธิ์การเข้าถึงที่มากเกินจำเป็น
การให้สิทธิ์การเข้าถึงที่มากเกินความจำเป็นของเหล่าพนักงาน เป็นหนึ่งในช่องโหว่สำคัญด้านความปลอดภัย เพราะเมื่อผู้ใช้มีสิทธิ์มากเกินไป โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดหรือการใช้งานไปในทางที่ผิด ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ หากบัญชีผู้ใช้ถูกแฮกเกอร์ยึดไป ความเสียหายก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ภัยคุกคามจากผู้ใช้ภายในองค์กร
ภัยคุกคามจากภายในองค์กรเป็นความเสี่ยงที่มักถูกมองข้าม อย่างไรก็ตาม อาจมีพนักงานที่ไม่พอใจหรือมีเจตนาไม่ดี ใช้สิทธิ์ที่ตนมีในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่องค์กรได้ ซึ่งการจัดการสิทธิ์ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
ผลกระทบจากการรั่วไหลของบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง
บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น แอดมินระบบ หรือผู้จัดการระดับสูง มักเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮกเกอร์ ยิ่งถ้าหากบัญชีเหล่านี้ถูกเจาะ ผลกระทบและความเสียหายต่อองค์กรมักจะมีความรุนแรง เนื่องจากบัญชีเหล่านี้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญและระบบหลักขององค์กรได้ทั้งหมด
ความท้าทายในการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงในยุคดิจิตอล
การทำงานระยะไกล การใช้คลาวด์ และการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์หลากหลาย ทำให้การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องหาวิธีรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ในการรักษาความปลอดภัยอยู่เสมอ
Privileged Access Management (PAM) คืออะไร ?
Privileged Access Management หรือ PAM คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อปกป้อง ควบคุม และตรวจสอบการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญในระบบไอทีขององค์กร โดยเฉพาะการจัดการบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษ (Privileged Accounts) เช่น แอดมินระบบ ผู้ดูแลฐานข้อมูล หรือบัญชีที่ใช้ในการเข้าถึงระบบสำคัญ
องค์ประกอบสำคัญของระบบ PAM
Privileged Access Management (PAM) เป็นระบบที่ช่วยจัดการและควบคุมการเข้าถึงระบบสำคัญขององค์กร โดยมีองค์ประกอบหลักได้แก่
1. ระบบจัดเก็บรหัสผ่านแบบปลอดภัย (Password Vault & Management)
องค์ประกอบแรกคือระบบจัดเก็บรหัสผ่านแบบปลอดภัย (Password Vault & Management) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บรหัสผ่านด้วยการเข้ารหัสระดับสูง พร้อมทั้งจัดการการเปลี่ยนรหัสผ่านโดยอัตโนมัติตามนโยบายที่กำหนด และสร้างรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวสำหรับการเข้าถึงแบบชั่วคราว
2. การควบคุมการเข้าถึงแบบละเอียด (Session Management & Monitoring)
องค์ประกอบที่สองคือการควบคุมการเข้าถึงแบบละเอียด (Access Control & Workflow) ซึ่งรวมถึงระบบอนุมัติการเข้าถึงแบบอัตโนมัติ การกำหนดช่วงเวลาที่อนุญาตให้เข้าถึง และการจำกัดขอบเขตของคำสั่งหรือการดำเนินการที่ผู้ใช้แต่ละคนสามารถทำได้
3. ระบบบันทึกและตรวจสอบการใช้งาน (Access Control & Workflow)
องค์ประกอบที่สามคือระบบบันทึกและตรวจสอบการใช้งาน (Session Management & Monitoring) ทำหน้าที่บันทึกและควบคุมการใช้งานแบบเรียลไทม์ บันทึกวิดีโอของทุก Session เพื่อการตรวจสอบ และสามารถยุติ Session ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้ทันที
4. การจัดการสิทธิ์แบบอัตโนมัติ (Audit & Compliance)
องค์ประกอบสุดท้ายคือการจัดการสิทธิ์แบบอัตโนมัติและการตรวจสอบ (Audit & Compliance) ซึ่งครอบคลุมการสร้างรายงานการใช้งานโดยละเอียด ระบบจะทำการแจ้งเตือนเมื่อพบการใช้งานที่ผิดปกติ และการจัดเก็บประวัติการใช้งานทั้งหมดเพื่อการตรวจสอบในอนาคต
การทำงานของ PAM ในทางปฏิบัติ
การทำงานของระบบ PAM ในทางปฏิบัตินั้น เริ่มต้นจากขั้นตอนการเข้าถึงระบบ โดยเมื่อผู้ใช้ร้องขอการเข้าถึง ระบบจะทำการตรวจสอบสิทธิ์และนโยบายที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ หากได้รับการอนุมัติ ระบบจะสร้าง Session พร้อมสิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน
ในระหว่างการใช้งาน ระบบ PAM จะทำการติดตามและบันทึกทุกการกระทำอย่างละเอียด พร้อมทั้งตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติแบบเรียลไทม์ หากพบสิ่งผิดปกติ ระบบสามารถยุติ Session นั้นได้ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ท้ายที่สุด ระบบ PAM จะสร้างรายงานการใช้งานที่ละเอียดครบถ้วน ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้เพื่อการตรวจสอบในอนาคต
ความแตกต่างระหว่างระบบ PAM, IAM และ PIM
ในโลกของการจัดการสิทธิ์การเข้าถึง ระบบ PAM จะมีความแตกต่างที่ชัดเจนจากระบบอื่น ๆ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. PAM (Privileged Access Management)
ระบบ PAM หรือ Privileged Access Management จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษ ด้วยการควบคุมและตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด พร้อมฟีเจอร์พิเศษอย่างการบันทึก Session และการให้สิทธิ์แบบทันที (Just-in-Time Access)
2. IAM (Identity and Access Management)
ระบบ IAM หรือ Identity and Access Management จะมีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยครอบคลุมการจัดการตัวตนและสิทธิ์ของผู้ใช้งานทั่วไปในองค์กร ตั้งแต่การลงทะเบียน การยืนยันตัวตน ไปจนถึงการจัดการสิทธิ์พื้นฐาน โดยเน้นการจัดการวงจรชีวิตของผู้ใช้ (User Lifecycle) และระบบการลงชื่อเข้าใช้แบบครั้งเดียว (Single Sign-On)
3. PIM (Privileged Identity Management)
ระบบ PIM หรือ Privileged Identity Management มักจะทำงานควบคู่ไปกับระบบ PAM โดยเน้นไปที่การจัดการตัวตนของผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง และการจัดการการยกระดับสิทธิ์แบบชั่วคราว (Privilege Elevation) ซึ่งการทำงานของทั้งสองระบบร่วมกัน จะช่วยให้การจัดการสิทธิ์พิเศษเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญกับระบบ PAM ?
การละเลยการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอาจนำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์มักมุ่งเป้าไปที่บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง การทำความเข้าใจถึงความสำคัญของ PAM จะช่วยให้องค์กรตระหนักถึงความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสม
สถิติการโจมตีผ่านบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง
สถิติการละเมิดความปลอดภัยทางไซเบอร์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงในทางที่ผิด ทำให้การมีระบบ PAM ที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเสี่ยงจากการไม่มีระบบจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
องค์กรที่ไม่มีระบบจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่ดีมักประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น การให้สิทธิ์ซ้ำซ้อน การไม่สามารถติดตามการใช้งานสิทธิ์ หรือการไม่สามารถเพิกถอนสิทธิ์ได้ทันท่วงที
ผลกระทบต่อธุรกิจจากการรั่วไหลของข้อมูล
การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญย่อมส่งผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจ ทั้งด้านการเงิน ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของลูกค้า การลงทุนในระบบ PAM จึงเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ประโยชน์ของการใช้ระบบ PAM ในองค์กร
การลงทุนในระบบ PAM นำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่จับต้องได้ ทั้งในแง่ของการเพิ่มความปลอดภัย การลดความเสี่ยง และการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ การทำความเข้าใจถึงประโยชน์เหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและใช้งานระบบ PAM ได้อย่างคุ้มค่า
เพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบสำคัญ
ระบบ PAM ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบสำคัญผ่านการควบคุมการเข้าถึงที่เข้มงวด การเข้ารหัสข้อมูล และการตรวจสอบการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
ลดความเสี่ยงจากการใช้สิทธิ์ในทางที่ผิด
ด้วยระบบการให้สิทธิ์แบบชั่วคราวและการตรวจสอบการใช้งาน ระบบ PAM จึงช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการใช้สิทธิ์ในทางที่ผิด
สอดคล้องกับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ระบบ PAM จะช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ISO 27001, GDPR และกฎหมาย PDPA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยในการตรวจสอบและติดตามการใช้งาน
ระบบบันทึกและรายงานของ PAM ช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและตรวจสอบการใช้งานสิทธิ์ต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด
แนวทางการใช้งาน PAM ให้มีประสิทธิภาพ
การติดตั้งระบบ PAM เป็นเพียงจุดเริ่มต้น จึงต้องจำเป็นต้องมีแนวทางการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยการวางแผนและการดำเนินการที่รอบคอบ ตั้งแต่การระบุและจัดการบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง ไปจนถึงการตรวจสอบและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง แนวทางต่อไปนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ PAM ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การระบุและจัดการบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง
องค์กรควรทำการสำรวจและจัดหมวดหมู่บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงทั้งหมด พร้อมทั้งกำหนดนโยบายการใช้งานที่เหมาะสม
การกำหนดนโยบายการเข้าถึงแบบ Just-in-Time
การให้สิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะเมื่อจำเป็นและในระยะเวลาที่จำกัดช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้สิทธิ์ในทางที่ผิด
การตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมการใช้งาน
การติดตามและบันทึกการใช้งานสิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและการใช้งานที่น่าสงสัย
การใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย
การเพิ่มความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน จะช่วยป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้
การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพผ่านระบบ PAM เป็นกุญแจสำคัญในการปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบัน หากองค์กรของคุณต้องการระบบจัดการสิทธิ์การเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพ Konica Minolta พร้อมให้คำปรึกษาและวางระบบ IT Security ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณอย่างครบวงจร ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราได้วันนี้
ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000
แหล่งที่มา: