ระบบ ERP แบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบเดียวทั่วทั้งองค์กร มักไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการทำงานของบริษัทที่มีสาขาอยู่ในต่างประเทศให้ทำงานในองค์รวมได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในแง่ของการปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่น การรองรับภาษาที่แตกต่าง หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ระบบ ERP แบบ Two-Tier (Two-Tier ERP) จึงเป็นคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการระบบ IT พร้อม ๆ กับการรักษาการควบคุมและมาตรฐานจากส่วนกลาง
รู้จักระบบ ERP แบบ Two-Tier (Two-Tier ERP) คืออะไร ?
Two-Tier ERP หรือ 2-Tier ERP คือ แนวคิดการบริหารจัดการระบบ ERP ที่แบ่งออกเป็นสองระดับ โดยระดับแรกคือระบบหลักที่สำนักงานใหญ่ และระดับที่สองคือระบบย่อยที่ใช้ในแต่ละสาขาหรือหน่วยธุรกิจ ERP รูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถรักษาความเป็นมาตรฐานของข้อมูลและกระบวนการทำงานหลักไว้ได้ และในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้แต่ละสาขาสามารถปรับแต่งระบบให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตนได้
ในบริบทของการทำธุรกิจปัจจุบัน ที่มีการแข่งขันสูงและต้องการความคล่องตัว การบริหารจัดการระบบ IT ในองค์กรขนาดใหญ่จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบ ERP แบบ Two-Tier ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ทำไมระบบ ERP แบบ Two-Tier จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ?
จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เกิดความต้องการในการใช้ระบบที่สามารถรองรับการทำงานในหลายประเทศได้พร้อมกัน ทั้งยังเป็นระบบที่สามารถปรับตัวได้ตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ โดยยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งการพัฒนาของระบบ Cloud ERP ในปัจจุบัน ยังทำให้การใช้งาน Two-Tier ERP เป็นไปได้ง่ายขึ้น ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ ทำให้การบริหารจัดการระบบมีความคล่องตัวและประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ประโยชน์ของการใช้ระบบ ERP แบบ Two-Tier
1. การบริหารข้อมูลแบบรวมศูนย์
การบริหารข้อมูลแบบรวมศูนย์เป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญของระบบ Two-Tier ERP โดยข้อมูลจากทุกสาขาจะถูกรวบรวมและประมวลผลไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ผู้บริหารสามารถเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการวางแผนธุรกิจในระยะยาว
2. การปรับแต่งระบบตามความต้องการเฉพาะพื้นที่
ช่วยให้แต่ละสาขาสามารถปรับแต่งระบบที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนภาษา การรองรับกฎระเบียบท้องถิ่น หรือการปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานในแต่ละประเทศ ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละพื้นที่
3. ความคุ้มค่าด้านต้นทุน
การใช้ Two-Tier ERP ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เนื่องจากไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบขนาดใหญ่เพียงระบบเดียว และยังช่วยลดความซับซ้อนในการบำรุงรักษาระบบ นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน เนื่องจากแต่ละสาขาสามารถใช้ระบบที่คุ้นเคยได้
4. ความยืดหยุ่นในการควบรวมกิจการ
ระบบ Two-Tier ERP มีความยืดหยุ่นสูง ในกรณีที่องค์กรต้องการควบรวมกิจการ โดยสามารถผสานระบบของบริษัทใหม่เข้ากับระบบที่มีอยู่ได้อย่างสะดวก ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมด ช่วยให้การควบรวมกิจการเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
องค์กรที่เหมาะกับระบบ ERP แบบ Two-Tier
บริษัทที่มีสาขาทั่วโลก
บริษัทที่มีสาขาทั่วโลกจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ Two-Tier ERP เนื่องจากสามารถรองรับความแตกต่างด้านภาษา กฎหมาย และวิธีการทำงานในแต่ละประเทศได้เป็นอย่างราบรื่น อีกทั้งยังช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลข้ามประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตรถยนต์ที่มีโรงงานในหลายประเทศ สามารถใช้ SAP เป็นระบบหลักที่สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ ขณะที่โรงงานในไทยใช้ระบบ ERP ท้องถิ่นที่รองรับภาษาไทยและระเบียบบัญชีของไทย โดยข้อมูลสำคัญจะถูกส่งกลับไปยังระบบหลักโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถบริหารซัพพลายเชนระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์กรที่มีหลายสาขาในประเทศ
สำหรับองค์กรที่มีหลายสาขาในประเทศ ระบบนี้จะช่วยให้แต่ละสาขาสามารถทำงานได้อย่างอิสระมากขึ้น ในขณะที่ยังคงเชื่อมโยงกับระบบส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก เครือโรงพยาบาล หรือสถาบันการศึกษาที่มีวิทยาเขตหลายแห่ง
ตัวอย่างเช่น เครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่สามารถใช้ระบบหลักในการจัดการข้อมูลคนไข้และประวัติการรักษาร่วมกัน ขณะที่แต่ละสาขาสามารถใช้ระบบย่อยที่เหมาะกับขนาดและความต้องการเฉพาะ เช่น โรงพยาบาลขนาดเล็กในต่างจังหวัดอาจใช้ระบบที่เรียบง่ายกว่าแต่ยังคงเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลกลางได้
ธุรกิจที่มีความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์และบริการ
ธุรกิจที่มีความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์และบริการสามารถใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของระบบ Two-Tier ERP ในการปรับแต่งการทำงานให้เหมาะกับแต่ละประเภทธุรกิจ ทำให้สามารถบริหารจัดการกระบวนการทำงานที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังสามารถรักษามาตรฐานการควบคุมจากส่วนกลางเอาไว้
ตัวอย่างเช่น กลุ่มบริษัทที่มีทั้งธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สามารถใช้ระบบหลักในการจัดการด้านการเงินและบัญชีรวม ขณะที่ในแต่ละธุรกิจจะใช้ระบบย่อยที่ออกแบบมาเฉพาะ เช่น ระบบ POS สำหรับค้าปลีก ระบบจัดการร้านอาหาร หรือระบบบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยทุกระบบสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบหลักได้โดยอัตโนมัติ
ข้อควรพิจารณาในการติดตั้งระบบ ERP แบบ Two-Tier
- การวางแผนด้านงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญ โดยองค์กรควรพิจารณาในเรื่องค่าใช้จ่ายการติดตั้งระบบเริ่มต้น ต้นทุนการฝึกอบรมพนักงาน และค่าบำรุงรักษาระบบในระยะยาว
- การจัดการความซับซ้อนของระบบเป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการกำหนดมาตรฐานการทำงานและการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล
- การเชื่อมต่อระหว่างระบบต้องได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถไหลเวียนระหว่างระบบได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
Two-Tier ERP เป็นโซลูชันที่ช่วยให้องค์กรสามารถประสานประโยชน์ระหว่างการควบคุมจากส่วนกลางและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานของแต่ละสาขาได้ในหนึ่งเดียว ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรมวางแผนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการได้อย่างครบวงจร Konica Minolta พร้อมให้คำปรึกษาฟรีสำหรับองค์กรที่กำลังมองหาระบบ ERP เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยประสบการณ์การวางระบบ IT ให้องค์กรชั้นนำมากมาย
ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000
แหล่งที่มา: