ภัยคุกคามจาก Ransomware มีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น องค์กรจึงต้องมีวิธีป้องกันระบบสำรองข้อมูลอย่างรอบด้าน เพราะแฮกเกอร์สามารถโจมตีระบบได้ทุกเมื่อ องค์กรจึงต้องมีกลยุทธ์ในการป้องกันระบบสำรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
รู้จัก Ransomware และภัยคุกคามต่อข้อมูลสำรอง
Ransomware คืออะไร ?
Ransomware เป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อเข้ารหัสข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ จนกว่าจะจ่ายค่าไถ่ตามที่แฮกเกอร์เรียกร้อง
ซึ่งมักจะเรียกค่าไถ่ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin เพื่อความยากในการติดตามร่องรอย ปัจจุบัน Ransomware มีการพัฒนารูปแบบการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น และสามารถแพร่กระจายในระบบเครือข่ายและโจมตีระบบสำรองข้อมูลได้อีกด้วย ดังนั้นการป้องกันระบบสำรองข้อมูลหรือ Data Backup จาก Ransomware จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย
รูปแบบการโจมตีของ Ransomware
Ransomware มีวิธีการแพร่กระจายและโจมตีที่หลากหลาย เช่น
- การส่งอีเมลหลอกลวง (Phishing)
- การแฝงมากับซอฟต์แวร์ที่ไม่ปลอดภัย
- การโจมตีผ่านช่องโหว่ของระบบ
- การใช้รหัสผ่านที่รั่วไหล
- การโจมตีผ่านเครือข่าย Remote Desktop Protocol (RDP)
เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว Ransomware จะค้นหาและเข้ารหัสไฟล์สำคัญทั้งในระบบหลักและระบบสำรองข้อมูล ทำให้องค์กรไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมด
ความเสี่ยงต่อระบบสำรองข้อมูล
ระบบสำรองข้อมูลที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสมจะมีความเสี่ยงสูงในการถูกโจมตี เพราะแฮกเกอร์มักจะเลือกโจมตีระบบสำรองข้อมูลเป็นเป้าหมายแรก ๆ เพื่อตัดทางเลือกในการกู้คืนข้อมูลขององค์กร ทำให้เหยื่อจำเป็นต้องจ่ายค่าไถ่ในที่สุด
ผลกระทบต่อธุรกิจเมื่อถูกโจมตี
การถูกโจมตีด้วย Ransomware จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก
- สูญเสียข้อมูลสำคัญไป
- เสียค่าใช้จ่ายในการกู้คืนระบบ
- ความเชื่อมั่นของลูกค้าลดลง
- อาจถูกปรับตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
- เสียโอกาสทางธุรกิจ
ทำไมต้องป้องกันระบบสำรองข้อมูลจาก Ransomware ?
สถิติการโจมตีระบบสำรองข้อมูล
จากการศึกษาพบว่า การโจมตีด้วย Ransomware มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 องค์กรทั่วโลกถูกโจมตีในทุก ๆ 11 วินาที ซึ่งเพิ่มขึ้นจากทุก ๆ 14 วินาทีในปี 2022 นอกจากนี้ 40% ของการโจมตียังมีการเจาะเข้าถึงระบบสำรองข้อมูล ทำให้องค์กรไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากไม่จ่ายค่าไถ่
มูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ความเสียหายจากการถูกโจมตีด้วย Ransomware นั้นไม่ได้มีแค่ค่าไถ่ที่ต้องจ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสียหายอื่น ๆ ดังนี้ด้วย
- ต้นทุนในการกู้คืนระบบ
- รายได้ที่สูญเสียระหว่างที่ระบบหยุดทำงาน
- ค่าปรับจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
- ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย
- ผลกระทบต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
ความสำคัญของการมีข้อมูลสำรองที่ปลอดภัย
การมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัยก็เหมือนกับการทำประกันภัยให้กับธุรกิจ เพราะจะช่วยให้สามารถกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าไถ่ ทั้งยังช่วยรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าเอาไว้ และยังเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอีกด้วย
ผลกระทบต่อการกู้คืนระบบ
หากระบบสำรองข้อมูลถูกโจมตี การกู้คืนระบบจะทำได้ยากขึ้น เพราะไม่มีข้อมูลสำรองที่สมบูรณ์ ทั้งยังต้องใช้เวลาในการกู้คืนที่ยาวนาน และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียข้อมูลบางส่วนไป นอกจากนี้ ยังต้องใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่ายที่สูง
แนวทางการป้องกันระบบสำรองข้อมูลจาก Ransomware
1. การใช้กลยุทธ์ 3-2-1 ในการสำรองข้อมูล
กลยุทธ์ 3-2-1 เป็นแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะประกอบไปด้ว
- สำรองข้อมูล 3 ชุด
- เก็บในสื่อบันทึก 2 ประเภท
- เก็บนอกสถานที่ 1 ชุด
วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจว่า จะมีข้อมูลสำรองที่ปลอดภัยอย่างน้อย 1 ชุด แม้ระบบหลักจะถูกโจมตี
2. การแยกระบบสำรองข้อมูลออกจากเครือข่ายหลัก
การแยกระบบสำรองข้อมูลออกจากเครือข่ายหลัก (Air Gap) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการป้องกัน Ransomware เพราะจะทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำรองได้แม้จะเจาะระบบหลักได้สำเร็จ โดยการทำ Air Gap นั้น สามารถทำได้ทั้งแบบกายภาพ (Physical Air Gap) และแบบตามเวลา (Logical Air Gap)
3. การเข้ารหัสข้อมูลสำรอง
การเข้ารหัสข้อมูลสำรองช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันในอีกระดับหนึ่ง เพราะแม้แฮกเกอร์จะเข้าถึงข้อมูลสำรองได้ แต่ก็จะไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้หรือเปิดเผยได้ โดยองค์กรควรใช้การเข้ารหัสที่เป็นมาตรฐานและมีการจัดการกุญแจเข้ารหัสอย่างปลอดภัย
4. การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง
การควบคุมการเข้าถึงระบบสำรองข้อมูลอย่างเข้มงวดเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรจึงควรกำหนดสิทธิ์ตามหลัก “Least Privilege” ซึ่งเป็นการให้สิทธิ์เท่าที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น และมีการตรวจสอบและทบทวนสิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ
5. การอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ
การอัปเดตระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ และระบบรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอช่วยปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์อาจใช้ในการโจมตีได้ ควรมีกระบวนการจัดการการอัปเดตที่เป็นระบบและทดสอบระบบก่อนนำไปใช้จริงเสมอ
เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยป้องกันข้อมูลจาก Ransomeware
ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA)
ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน หรือ MFA เพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงระบบสำรองข้อมูล โดยต้องมีการยืนยันตัวตนหลายรูปแบบ เช่น รหัสผ่าน รหัส OTP ลายนิ้วมือ และการยืนยันผ่านแอปพลิเคชัน
การใช้ Cloud Backup ที่ปลอดภัย
Cloud Backup ที่มีการรักษาความปลอดภัยระดับสูงช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำรอง โดยมีคุณสมบัติสำคัญ เช่น การเข้ารหัสระดับสูง การแยกข้อมูลระหว่างผู้ใช้ ระบบป้องกันการบุกรุก การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ และการกู้คืนแบบจุดเวลา
เครื่องมือตรวจจับและป้องกันการบุกรุก
ระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุก (IDS/IPS) ช่วยเฝ้าระวังและป้องกันการโจมตีจาก Ransomware โดยการตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย บล็อกการเข้าถึงจากแหล่งที่มีความเสี่ยง แจ้งเตือนเมื่อพบการโจมตี ทั้งยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์ และบันทึกเหตุการณ์เพื่อการวิเคราะห์
ระบบติดตามและแจ้งเตือน
ระบบติดตามและแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว โดยมีความสามารถในการติดตามสถานะของระบบสำรองข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมตรวจสอบความผิดปกติของการเข้าถึงข้อมูล แจ้งเตือนเมื่อพบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัย รายงานสถานะการสำรองข้อมูล และวิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบการโจมตี
อย่าปล่อยให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรตกเป็นเหยื่อ Ransomware ที่อาจสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับองค์กรได้ Konica Minolta พร้อมให้คำปรึกษาและวางระบบป้องกันข้อมูลสำรอง และรับวางระบบ Cyber Security ที่ครอบคลุมและปลอดภัย รวมถึงมีบริการด้านระบบ IT อย่างครบวงจร ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราได้วันนี้เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกันที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณ
ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000
แหล่งที่มา: