สถาปัตยกรรม Zero Trust แนวทางใหม่ของความปลอดภัยทางไซเบอร์

สถาปัตยกรรม Zero Trust Security

ในยุคที่ทั้งโลกเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) กลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ขององค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 2025 ที่การโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น องค์กรไม่สามารถพึ่งพาระบบความปลอดภัยแบบดั้งเดิมได้อีกต่อไป หลักความปลอดภัยด้าน Zero Trust Security หรือการรักษาความปลอดภัยที่ “ไม่เชื่อใจใครเลย” ได้กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นโซลูชันที่สามารถป้องกันข้อมูลในยุคดิจิทัลที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Zero Trust Security คืออะไร ?

Zero Trust Security คือ แนวคิดด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ไม่ควรเชื่อใจใคร” ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งาน อุปกรณ์ หรือระบบเครือข่าย ทั้งที่อยู่ภายในหรือภายนอกองค์กร โดยทุกการเข้าถึงระบบหรือข้อมูล จะต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันตัวตน (Authentication) อย่างเข้มงวด รวมถึงการอนุญาตการเข้าถึงเฉพาะส่วนที่จำเป็น (Least Privilege Access) เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น

Zero Trust Security ทำงานอย่างไร ?

สถาปัตยกรรม Zero Trust Security มีการทำงานที่เน้นการป้องกันภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอก โดยมีหลักการทำงานดังนี้

การตรวจสอบตัวตน (Identity Verification)

ทุกผู้ใช้และอุปกรณ์จะต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน เช่น การใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

Least Privilege Access

Zero Trust Security ใช้หลักการ Least Privilege Access โดยให้สิทธิ์เข้าถึงเฉพาะข้อมูลหรือระบบที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดโอกาสที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ช่องโหว่จากบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น

การแบ่งส่วนเครือข่าย (Micro-Segmentation)

ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของการโจมตี

การตรวจสอบแบบต่อเนื่อง (Continuous Monitoring)

ใช้เครื่องมือ AI และ Machine Learning เพื่อตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติในระบบแบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนทันทีหากพบพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง

การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption)

ข้อมูลทุกส่วนในระบบจะถูกเข้ารหัส (Encryption) เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต และช่วยให้แน่ใจว่า แม้ข้อมูลจะรั่วไหลออกไป ก็ไม่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ง่าย ๆ

ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจาก Zero Trust Security

ประโยชน์ของ Zero Trust Security ที่ธุรกิจจะได้รับ

ลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์

ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยแฮกเกอร์ได้ใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น Phishing (การปลอมแปลงตัวตน), Ransomware (มัลแวร์เรียกค่าไถ่), และ Insider Threats (ภัยคุกคามจากภายในองค์กร) เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ระบบที่ไม่มีการตรวจสอบการเข้าถึงอย่างเข้มงวด จะเปิดช่องให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบได้ง่ายขึ้น

Zero Trust Security ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีเหล่านี้ โดยกำหนดให้ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น พนักงานที่ทำงานจากภายในองค์กร ผู้ใช้งานจากภายนอก หรือ อุปกรณ์ที่พยายามเข้าถึงข้อมูล ซึ่งระบบจะไม่ให้ความไว้วางใจใด ๆ จนกว่าผู้ใช้งานหรืออุปกรณ์จะผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ที่ถูกต้องเสียก่อน

เพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการเงิน หรือข้อมูลทางธุรกิจ การรั่วไหลของข้อมูลอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรได้

Zero Trust Security ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตผ่านการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Least Privilege Access) และการตรวจสอบแบบต่อเนื่อง (Continuous Monitoring) ทำให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลที่สำคัญจะถูกจัดเก็บและนำไปใช้งานอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ องค์กรที่ใช้หลักความปลอดภัยด้าน Zero Trust ยังสามารถกำหนดนโยบายในการปกป้องข้อมูลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมข้อมูล และเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ

สนับสนุนการทำงานแบบรีโมท (Remote Work)

ในปัจจุบัน พนักงานไม่จำเป็นต้องทำงานในออฟฟิศอีกต่อไป การทำงานแบบรีโมท (Remote Work) และไฮบริด (Hybrid Work) กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งทำให้การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบเครือข่ายมีความท้าทายมากขึ้น

Zero Trust Security ช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลได้ แม้ว่าพนักงานจะทำงานจากที่บ้าน ร้านกาแฟ หรือสถานที่อื่น ๆ โดยใช้เทคโนโลยี Identity Verification และ Multi-Factor Authentication (MFA) เพื่อตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้ และกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะส่วนที่จำเป็นสำหรับการทำงาน

ด้วยแนวทางนี้ องค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าพนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องกังวลว่าการเชื่อมต่อจากเครือข่ายสาธารณะจะเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้ามาเจาะระบบ

ยกระดับความโปร่งใสในการดำเนินงาน

หลักความปลอดภัยด้าน Zero Trust ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการระบบไอทีขององค์กร โดยทุกการเข้าถึงข้อมูลและระบบเครือข่าย จะถูก บันทึกและตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ และตรวจจับความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที

การมีบันทึกการเข้าถึงที่ครบถ้วนเช่นนี้ ช่วยให้ฝ่าย IT สามารถตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อระบุสาเหตุของปัญหาหรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัย เพื่อปรับปรุงนโยบายและมาตรการป้องกันให้มีความเข้มงวดมากขึ้น

องค์กรที่มีความโปร่งใสในการจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพาร์ทเนอร์มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถตรวจจับและรับมือกับเหตุการณ์ผิดปกติต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance)

หลักความปลอดภัยด้าน Zero Trust ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น PDPA และ ISO 27001 ซึ่งการปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับองค์กรที่ยังใช้ระบบความปลอดภัยแบบเดิม แต่การมีระบบ Zero Trust Security ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับระบบความปลอดภัยให้สอดคล้องกับข้อกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถลดความเสี่ยงจากการถูกปรับหรือถูกลงโทษทางกฎหมาย และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

 

Zero Trust Security ไม่เพียงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงในยุคที่ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญ หากองค์กรของคุณกำลังมองหาแนวทางในการปกป้องข้อมูลและระบบที่ครบวงจร Zero Trust Security คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ ปรึกษา Konica Minolta ได้เลย
ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000

 

แหล่งที่มา:

  1. What Is Zero Trust?