ควรเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์หรือยัง? เช็ก 5 สัญญาณเซิร์ฟเวอร์ใกล้หมดอายุ

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้นคือสัญญาณที่ต้องเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์

 

เซิร์ฟเวอร์ (Server) คือหัวใจของระบบ IT ในองค์กร ไม่ว่าจะใช้ในการเก็บข้อมูล การจัดการระบบบัญชี การแชร์ไฟล์ หรือการสนับสนุนการทำงานร่วมกันของทีม แต่หากเซิร์ฟเวอร์เริ่มทำงานได้ช้าลงหรือเกิดปัญหาบ่อยครั้ง ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจโดยตรง

แต่คำถามคือ “แล้วเมื่อไหร่เราควรเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ ?” เพราะการรอให้ระบบล่มหรือเสียหายก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ อาจสายเกินไป ทั้งในแง่ของเวลา ความเสียหายของข้อมูล และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น บทความนี้จะพาคุณไปรู้ถึง 5 สัญญาณที่ต้องเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนยากที่จะแก้ไข

 

1. เซิร์ฟเวอร์มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี

โดยทั่วไป เซิร์ฟเวอร์จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 ปี หลังจากนั้นประสิทธิภาพจะเริ่มลดลง อีกทั้งอุปกรณ์บางชิ้นอาจเสื่อมสภาพ และไม่สามารถรองรับระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ได้

แต่ในกรณีที่ เซิร์ฟเวอร์ในองค์กรของคุณมีอายุเกิน 5 ปี แต่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ ก็ควรพิจารณาเปลี่ยนหรืออัปเกรดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความไม่เสถียรในอนาคต เพราะการใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีอายุมากเกินไป อาจนำไปสู่สัญญาณที่ต้องเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ใหม่ในไม่ช้า โดยเฉพาะปัญหาเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้น

  • ความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ที่คาดการณ์ไม่ได้
  • ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีเก่า
  • การไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิต
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น

 

2. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานช้าจะไม่สามารถรองรับปริมาณงานของพนักงานได้ และอาจใช้เวลาโหลดข้อมูลนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการทำงาน ดังนั้น หากเริ่มสังเกตเห็นว่าเซิร์ฟเวอร์ทำงานไม่ทัน หรือมีอาการเหล่านี้อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ใหม่เพื่อรองรับการทำงานในอนาคต

  • เข้าถึงไฟล์ช้า
  • ใช้เวลานานในการสำรองข้อมูล
  • ทำงานพร้อมกันหลายระบบแล้วกระตุก
  • การประมวลผลรายงานใช้เวลานานขึ้น
  • ระบบฐานข้อมูลตอบสนองช้า

ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณชัดเจนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ในระบบได้ ที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่ลดลงไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อพนักงานเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจหากบริการของคุณต้องหยุดชะงักอีกด้วย

 

การดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ (Server) ขององค์กรต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์

 

3. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แม้การบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์จะเป็นเรื่องปกติ แต่หากค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะค่าเปลี่ยนอะไหล่ ค่าแรง หรือค่าจ้างช่างซ่อมที่บ่อยเกินไป อาจถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ใหม่ได้แล้ว

อีกทั้งการลงทุนในเซิร์ฟเวอร์ใหม่ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า เพราะเซิร์ฟเวอร์ใหม่มักมาพร้อมประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และลดต้นทุนด้านการดูแลในระยะยาว การลงทุนครั้งเดียวอาจคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าซ่อมบ่อย ๆ

 

4. ไม่รองรับซอฟต์แวร์หรือระบบใหม่ ๆ

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ถือเป็นเรื่องจำเป็น ดังนั้นหากเซิร์ฟเวอร์ของคุณไม่สามารถติดตั้งหรือรันระบบใหม่ ๆ ได้ ก็อาจจำกัดความสามารถในการพัฒนาและขยายธุรกิจของคุณ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น

  • ไม่สามารถติดตั้งระบบ ERP หรือ CRM รุ่นล่าสุด
  • ไม่รองรับการทำงานร่วมกับคลาวด์หรือ AI
  • ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเวอร์ชันใหม่ไม่ได้
  • ไม่สามารถใช้เทคโนโลยี Virtualization หรือ Container ได้
  • ไม่รองรับมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ ๆ

ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ การเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยให้ธุรกิจของคุณแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

5. มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยหรือการสำรองข้อมูล

เซิร์ฟเวอร์ที่ล้าสมัยอาจไม่รองรับการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ที่ทันสมัย หากระบบไม่มีการสำรองข้อมูลแบบอัตโนมัติ หรือสำรองแล้วกู้คืนไม่ได้เมื่อเกิดปัญหา ธุรกิจของคุณอาจตกอยู่ในความเสี่ยงร้ายแรง

ปัญหาด้านความปลอดภัยที่พบบ่อย เช่น

  • ไม่สามารถติดตั้ง Security Patch ล่าสุด
  • ระบบป้องกันไวรัสไม่รองรับ
  • ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลที่ได้มาตรฐาน
  • ระบบสำรองข้อมูลล้มเหลวหรือใช้เวลานานเกินไป
  • ไม่สามารถตั้งค่า Disaster Recovery ที่มีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนมาใช้เซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยครบถ้วน จะช่วยให้องค์กรลดความเสี่ยงจากภัยคุกคาม และมีระบบสำรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

อย่ารอให้เซิร์ฟเวอร์ล่มก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะการเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของธุรกิจ ที่สำคัญเซิร์ฟเวอร์ใหม่ไม่เพียงแต่จะทำงานได้เร็วและเสถียรกว่า แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว พร้อมกับปรับปรุงด้านความปลอดภัย และเปิดโอกาสให้องค์กรใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หากคุณกำลังมองหาโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ปลอดภัย เสถียร และคุ้มค่า Konica Minolta พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบริการวางระบบ Server ทั้งยังสามารถแนะนำระบบที่เหมาะกับขนาดธุรกิจและงบประมาณของคุณ

ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000

 

แหล่งที่มา:

  1. 5 Signs It’s Time to Replace Your Business Server