เปิดเทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 พร้อมกลยุทธ์รับมือ

สรุปเทรนด์การจัดเก็บข้อมูลแห่งปี 2025

เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับความต้องการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI การปกป้องข้อมูล หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งในปี 2025 นี้ เทรนด์พื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้มีการพัฒนาอย่างน่าสนใจ และส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ด้านไอทีขององค์กรมากขึ้น

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน บทความนี้มาพร้อมกับ 5 เทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 ที่องค์กรควรให้ความสำคัญ พร้อมกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมได้ก่อนใคร

 

5 เทรนด์การจัดเก็บข้อมูลแห่งปี 2025

การจัดเก็บข้อมูลสำหรับ Generative AI : RAG (Retrieval-Augmented Generation)

ถ้าคุณกำลังเริ่มทดลองนำ Generative AI เพื่อนำมาใช้ในองค์กร ชื่อของ RAG หรือ Retrieval-Augmented Generation คงเริ่มผ่านหูผ่านตามาบ้าง ซึ่งเทคโนโลยีนี้คือวิธีต่อยอด AI ให้ตอบคำถามได้ “ตรงประเด็น” มากขึ้น โดยไม่อ้างอิงแค่ความรู้ที่อยู่ในโมเดล แต่สามารถดึงข้อมูลจริงจากแหล่งข้อมูลขององค์กรมาใช้ประกอบการตอบแบบเรียลไทม์ได้ด้วย จะเรียกว่าเป็น AI ที่รู้จักองค์กรเป็นอย่างดีก็ไม่ผิดนัก

จุดเด่นของ RAG คือการช่วยลดปัญหา Hallucination หรือการให้ข้อมูลเท็จ (แบบมั่นใจว่าถูก) ที่หลายคนเจอบ่อย ๆ เวลาใช้ AI แถมยังเปิดทางให้เราใช้โมเดลใหญ่ ๆ ได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำมากขึ้น แน่นอนว่าจุดนี้เองที่ระบบจัดเก็บข้อมูลต้องเข้ามามีบทบาท เพราะ RAG จะทำงานได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจัดการข้อมูลในองค์กรไว้อย่างไร ค้นหาได้เร็วไหม ชุดข้อมูลครบหรือเปล่า ระบบ Index รองรับ Semantic Search ได้หรือยัง

องค์กรที่อยากใช้เทคโนโลยี RAG อย่างจริงจัง จึงควรเริ่มจากการทำบ้านให้เรียบร้อยก่อน ด้วยการวางโครงสร้างข้อมูลให้พร้อม แล้วค่อยต่อยอดไปสู่การเชื่อมต่อกับ AI
ซึ่งเทรนด์การจัดเก็บข้อมูลในปี 2025 ระบุว่า มีหลายธุรกิจที่เริ่มใช้ RAG กับคลังเอกสารภายใน ระบบความรู้ในองค์กร หรือแม้แต่คู่มือสินค้าสำหรับบริการลูกค้า ซึ่งไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ AI ตอบคำถามได้ถูกต้อง ชัดเจน และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังวางแผนใช้ Generative AI ในองค์กร การจัดเก็บข้อมูลที่รองรับ RAG คือก้าวสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

การป้องกันข้อมูลรูปแบบใหม่ : มุ่งเน้นความปลอดภัยไซเบอร์และการกู้คืน

ในยุคนี้ การปกป้องข้อมูลไม่ใช่แค่เรื่องของการมีโซลูชันไฟร์วอลล์หรือระบบสำรองข้อมูลธรรมดาอีกต่อไป เพราะความเสี่ยงไม่ได้มาจากแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความผิดพลาดภายใน ไม่ว่าจะเป็นการใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย การเปิดให้ทุกแผนกเข้าถึงข้อมูลได้พร้อมกัน ไปจนถึงการที่ผู้ใช้งานขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

ดังนั้น แนวคิดใหม่ที่องค์กรเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในปี 2025 คือ Recovery-First Approach หรือการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูล โดยมองว่าจะกู้คืนได้เร็วแค่ไหนหากเกิดเหตุไม่คาดคิด ซึ่งถือว่าเป็นการปรับมุมมองที่ตรงกับความจริงของธุรกิจในยุคที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นทุกวัน

ด้วยเหตุนี้ ระบบจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่จึงเริ่มมีฟีเจอร์ด้าน Cyber Resilience มากขึ้น เช่น

  • ฟีเจอร์ Immutable Snapshots ที่ช่วยล็อกข้อมูลให้อยู่ในสถานะไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะโดน Ransomware เข้าโจมตี
  • การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติด้วย AI ที่ไม่ใช่แค่แจ้งเตือน แต่พร้อมตอบสนองทันที เช่น กักกันโฟลเดอร์ที่น่าสงสัย
  • การเชื่อมต่อกับ SOC (Security Operation Center) เพื่อให้ทีมรักษาความปลอดภัยขององค์กรรับมือได้ทันท่วงที

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบจัดเก็บข้อมูล ที่ไม่ได้เป็นระบบแบบแยกส่วนเหมือนในอดีต องค์กรก็สามารถกู้คืนข้อมูลภายในไม่กี่นาทีหลังถูกโจมตี ดังนั้น ใครที่เคยคิดว่าการกู้ข้อมูลเป็นแค่เรื่องของ Backup กับ Restore อาจต้องทบทวนใหม่ เพราะเทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 การป้องกันและกู้คืนต้องเดินไปด้วยกันแบบแยกไม่ออก

Hybrid Multi-cloud Storage : การผสมผสานระหว่าง On Premise และ Cloud

ทุกวันนี้คงไม่มีใครเถียงว่า “Cloud” ช่วยให้องค์กรขยับตัวได้เร็วขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ หลายองค์กรก็ยังมีระบบ On Premise ที่ต้องใช้ควบคู่กัน จะย้ายขึ้น Cloud หมดก็ไม่ง่าย จะอยู่แต่ On Premise ก็ไม่ทันโลก ทางออกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการใช้ Hybrid Multi-Cloud Storage ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รวมข้อดีของทั้งสองสิ่งไว้ด้วยกัน โดยระบบจัดเก็บข้อมูลแบบไฮบริดนี้เปิดโอกาสให้องค์กรเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ใน Data Center ของตัวเอง ในขณะที่ข้อมูลอีกส่วนอาจกระจายอยู่บน Cloud สาธารณะ เช่น AWS, Azure, หรือ Google Cloud) หรือ Cloud เฉพาะทางที่เหมาะกับ Workload แบบเฉพาะเจาะจง เช่น AI หรือ Analytics

ข้อดีคือ องค์กรสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานได้ เช่น

  • ข้อมูลที่ต้องเข้าถึงเร็วและปลอดภัยมาก ๆ อาจเก็บไว้บน On Premise
  • ข้อมูลสำหรับสำรองระยะยาว หรือที่ใช้งานไม่บ่อย อาจย้ายขึ้น Cloud เพื่อลดต้นทุน

อีกจุดที่น่าสนใจ คือเรื่องของความยืดหยุ่นในการจัดการ เพราะระบบแบบ Hybrid Multi-Cloud จะช่วยให้องค์กรย้ายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ทั้งยังสามารถปรับขนาดความจุได้ตามต้องการ และมีเครื่องมือช่วยควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงแบบรวมศูนย์

แน่นอนว่าในปี 2025 นี้ มีหลายองค์กรที่เริ่มวางแผนเก็บข้อมูลแบบ Hybrid-Cloud อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล หรือมีข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เข้มงวด

การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบจัดเก็บข้อมูล

เมื่อข้อมูลเพิ่มขึ้นแบบไม่หยุด ระบบจัดเก็บข้อมูลที่ทำงานด้วยตัวเองได้มากขึ้นก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่เป็นเรื่องของการช่วยลดภาระให้กับทีม IT ที่ต้องรับมือกับ Workload ที่ซับซ้อนขึ้นทุกวันโดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม

ปี 2025 เราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านจากระบบที่ต้องจัดการทุกอย่างด้วยคน ไปสู่ระบบที่มี Automation ฝังอยู่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การบริหารจัดการความจุ การย้ายข้อมูลอัตโนมัติตามลักษณะการใช้งาน ไปจนถึงการแจ้งเตือนเมื่อระบบเริ่มถึงขีดจำกัด

สิ่งที่น่าจับตาคือ โมเดลการใช้งานแบบยืดหยุ่น (Flexible Consumption Models) ที่เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้น เช่น

  • จ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go)
  • เช่าใช้ความจุเหมือนบริการ Cloud (Storage-as-a-Service)
  • ระบบเพิ่ม-ลดพื้นที่จัดเก็บอัตโนมัติตามการใช้งาน

เทรนด์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 2025 ที่ธุรกิจต้องรู้

การทำให้โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลทันสมัยด้วยวิธีการแบบครบวงจร

โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของหลายองค์กรยังคงอิงอยู่กับระบบ VM แบบดั้งเดิม ซึ่งแม้จะเป็นระบบที่คุ้นเคยและมาพร้อมความเสถียร แต่เริ่มกลายเป็นข้อจำกัดเมื่อองค์กรต้องการขยับเข้าสู่รูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถทำงานได้แบบครบวงจร จึงกลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรเริ่มวางแผนอย่างจริงจัง
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการย้ายจาก VM ที่มีข้อจำกัดในการใช้งาน ไปสู่การจัดเก็บข้อมูลแบบ Containers เพื่อช่วยให้การจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูลเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องมีการอัปเดตแอปพลิเคชันบ่อย ๆ
สรุปได้ว่า สิ่งที่องค์กรหลายแห่งกำลังทำคือ การวางรากฐานของระบบจัดเก็บข้อมูลให้พร้อมสำหรับอนาคต โดยที่ข้อมูลเดิมยังต้องเข้าถึงได้ แอปพลิเคชันใหม่ก็ต้องรันได้คล่อง และระบบทั้งหมดต้องเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ

 

ความท้าทายในการเตรียมพร้อมสำหรับเทรนด์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 2025

ข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร

การลงทุนในระบบจัดเก็บใหม่อาจใช้ต้นทุนสูง ทั้งในแง่ของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากร ทำให้องค์กรต้องเลือกให้คุ้มค่าที่สุด

การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง

เทคโนโลยีใหม่อย่าง Kubernetes, Cloud-native storage หรือ AI-integrated storage ต้องใช้ทีมที่เข้าใจจริง ซึ่งยังหายากในตลาดแรงงาน

ความซับซ้อนในการบูรณาการระบบเก่ากับเทคโนโลยีใหม่

ระบบเดิม (Legacy) ที่ยังจำเป็นต่อธุรกิจ อาจไม่มี API หรือโครงสร้างที่รองรับการเชื่อมต่อกับระบบใหม่ ทำให้ต้องวางแผนการเชื่อมโยงอย่างรอบคอบ

ความกังวลด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การเคลื่อนย้ายข้อมูล การเชื่อมต่อกับคลาวด์ หรือระบบอัตโนมัติ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และต้องแน่ใจว่าองค์กรยังคงทำตามข้อกำหนด เช่น PDPA หรือ ISO 27001

การวางแผนการย้ายข้อมูลและลดความเสี่ยง

หากไม่มีการวางแผนที่ดี การย้ายข้อมูลอาจทำให้เกิด Downtime หรือข้อมูลสูญหาย โดยเฉพาะเมื่อมีระบบที่เชื่อมโยงกันหลายแพลตฟอร์ม

 

กลยุทธ์การเตรียมพร้อมรับมือเทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 สำหรับองค์กร

การประเมินความต้องการและวางแผนระยะยาว

ประเมินว่าองค์กรมีข้อมูลประเภทไหน ใช้พื้นที่จัดเก็บเท่าไร และระบบใดเป็นจุดเสี่ยง เพื่อวางแผนการขยายหรืออัปเกรดที่เหมาะสม

การลงทุนในการพัฒนาทักษะของทีม IT

เสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับทีม IT เช่น Hybrid Cloud, Storage Automation, Container Storage และ Security-Driven Storage เพื่อรองรับการใช้งานจริง

การทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ในสภาพแวดล้อมที่จำกัด

ทำการทดสอบระบบในระดับแผนกย่อยก่อนนำมาใช้งานในระดับองค์กร เพื่อลดความเสี่ยงและช่วยให้เข้าใจปัญหาเชิงเทคนิคก่อนเริ่มใช้จริง

การร่วมมือกับผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญ

อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่เทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการด้าน IT ที่มีประสบการณ์ด้านการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลในระดับองค์กร และเข้าใจโครงสร้างธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง

การติดตามแนวโน้มและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

โลกของข้อมูลเปลี่ยนเร็ว ทำให้เทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นทุกปี การติดตามแนวโน้มเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง

 

เทรนด์การจัดเก็บข้อมูล 2025 เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับองค์กรทุกขนาด การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างเต็มที่ พร้อมช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความปลอดภัยให้กับธุรกิจได้มากขึ้น

Konica Minolta พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเทรนด์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 2025 ด้วยประสบการณ์การวางระบบไอทีให้องค์กรชั้นนำมากมาย พร้อมบริการจัดหาอุปกรณ์ Server Storage คุณภาพสูง เราสามารถช่วยคุณออกแบบโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณขององค์กรได้ ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี และเริ่มต้นเส้นทางสู่การมีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

ปรึกษาเราได้ที่ โทร. 02-029-7000

 

แหล่งที่มา:

  1. Storage Trends for 2025